ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

#นศภAndTheWard #นศภAndTheDrugStore ตอน #มาม่าวันแม่ (2/3)

 

#นศภAndTheWard #นศภAndTheDrugStore ตอน #มาม่าวันแม่

 

จากประโยคที่ค้างไว้ว่า "ยังไงก็ขายให้ไม่ได้ค่ะพี่ พาแม่ไปโรงพยาบาลดีกว่านะคะ" เรื่องแรกนี้คล้ายกับเรื่องมาม่าดัง ๆ ที่ลูกค้าจะมาซื้อยาให้ได้ และอีกเรื่องก็คือ "#เค้าเป็นเลือดเนื้อของพี่นะ พี่จะทำเค้าได้ลงเหรอ" ที่ทำเอา นศภ. และพี่เภสัชถึงกับอึ้งกันไปทั้งคู่ เรามาดูกันว่าเรื่องราวเป็นยังไงบ้าง


เคสแรก: "ยังไงก็ขายให้ไม่ได้ค่ะ"

เป็นเรื่องของสองนักศึกษาเภสัชหน้าตาจิ้มลิ้ม ที่มีแม่ (อายุประมาณ 70 ปี) และลูก (อายุประมาณ 40 กว่าปี) เข้ามาในร้าน

ลูก: "ซื้อยาเบาหวานให้แม่ค่ะ ยาเป็นแผงเงิน ๆ เม็ดสีขาว"

นศภ.: (หยิบยาแผงฟอยล์สีเงินเม็ดขาวที่มีนับไม่ถ้วนมาให้ดู) "ลักษณะคล้ายอันไหนคะ ปกติคุณป้ากินยังไง รับยาที่ไหนอยู่ ขาดยานานเท่าไหร่คะ"

ลูก: (เริ่มไม่แน่ใจและตอบไม่ถูก) "เอาแผงเงิน ๆ แบบนี้แหละค่ะ เอาไปให้แม่กินก่อน" พร้อมพยายามพูดสารพัดเพื่อให้ขายยาให้ได้ ในขณะที่คุณแม่ก็ช่วยพูดด้วยสีหน้านิ่ง ๆ

นศภ. (น้ำทิพย์) เริ่มหันหน้ามองเพื่อนและคิดในใจว่า "เอาไงต่อดีวะ? ฉันไม่มีทางขายให้แน่ ๆ" แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นรอยคล้าย ตะขาบเกาะบนหน้าอก ของผู้เป็นแม่ จึงได้จังหวะถามเพิ่ม

นศภ. (น้ำทิพย์): "คุณป้ามีโรคประจำตัวอะไรบ้างไหมคะ"

แม่: "เคยผ่าตัดหัวใจ"

นศภ. (น้ำทิพย์): "อ๋อ! เป็นโรคหัวใจเหรอคะ? งั้นคงขายยาให้ไม่ได้นะคะป้า เพราะไม่มีตัวอย่างยาหรือซองยามาเลย ยาเบาหวานมีเยอะมาก ถ้ากินผิดอันตรายมากนะคะ ยิ่งคุณป้าเคยผ่าตัดหัวใจด้วย ถ้ามียาเดิมมาจะยังพอขายให้ได้ค่ะ"

สองแม่ลูกบ่นพึมพำแล้วก็เดินออกจากร้านไป นศภ. (น้ำทิพย์) รู้สึกโล่งใจเหมือนชนะ แต่นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น...


เช้าวันถัดมา สองแม่ลูกกลับมาอีกครั้ง!

ลูก: "พี่เอายามาให้น้องดู" (ลูกสาวยื่นถุงให้พร้อมยาที่เป็นเม็ดสีขาวแค่ครึ่งซีก) "ยาของแม่ที่เคยกิน ซองลิงมันขโมยไปแล้ว เหลือแค่นี้"

นศภ. (น้ำทิพย์): (หยิบยาครึ่งซีกนั้นมาดู) ยาลักษณะกลม แบน มีตัวอักษรเขียนว่า RA นศภ. เลยค้นถุงยาต่อและเจออีกครึ่งหนึ่ง เมื่อนำมาต่อกันก็อ่านได้ว่า PARA

นศภ. (น้ำทิพย์): (ยื่นเม็ดยาให้ลูกค้าดู) "พี่ลองดูนี่สิคะ นี่ต่อกันแล้วได้คำว่า PARA มันคือยาพาราลดไข้นะคะ ไม่ใช่ยาเบาหวาน"

ลูก: "แม่ ๆ (พูดภาษาใต้) นี่มันยาพารา ไม่ใช่ยาเบาหวาน แม่หยิบผิดอีกแล้ว" (ว่าแม่ตัวเอง)

นศภ. (น้ำทิพย์): ได้แต่ยิ้มในใจอย่างสะใจ

ลูก: "งั้นพี่ซื้อยาเบาหวานให้พ่อ เอาแบบที่น้องให้ดูเมื่อวาน"

นศภ. (น้ำทิพย์): (เริ่มสงสัยในเจตนา) "พ่อพี่น้ำหนักเท่าไหร่คะ สูงเท่าไหร่ เป็นเบาหวานมานานยัง"

เมื่อได้ข้อมูล นศภ. ก็ประมวลผลและรู้สึกว่าคำตอบของลูกสาวไม่น่าเชื่อถือ จึงตอบไปว่า "พี่ต้องเอาตัวอย่างยาที่ลุงเคยทานมาให้ดูก่อนนะคะ หนูขายไม่ได้ค่ะ"

ในที่สุดสองแม่ลูกก็บ่นกันเองจนรู้ว่าแท้จริงแล้วคือจะซื้อยาไปให้แม่กินนั่นแหละ นศภ. จึงยืนยันคำเดิมอย่างหนักแน่นว่า "ยังไงก็ขายให้ไม่ได้ค่ะพี่ พาแม่ไปโรงพยาบาลดีกว่านะคะ" และอธิบายเรื่องความอันตรายของยาเบาหวานกับโรคหัวใจให้ฟังจนผู้เป็นแม่ยอมไปโรงพยาบาลในที่สุด


เคสที่สอง: "#เค้าเป็นเลือดเนื้อของพี่นะ"

เคสนี้เป็นเรื่องของการทำแท้ง บ่ายวันหนึ่งมีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาซื้อที่ตรวจครรภ์ และวันรุ่งขึ้นเธอก็กลับมาถามหายาขับเลือด

ลูกค้า: "น้องมียาขับเลือดไหม"

พี่เภสัช: "ไม่มีค่ะพี่" (นศภ. ที่ฝึกงานถึงกับอึ้ง)

ลูกค้า: "เมื่อวานพี่มาซื้อที่ตรวจครรภ์ มันขึ้น 2 ขีด"

พี่เภสัช: "หนูก็บอกพี่หลายครั้งแล้วเรื่องยาคุมฉุกเฉิน..." (หมายความว่าเธอเคยมาปรึกษาเรื่องยาคุมฉุกเฉินแล้ว)

ลูกค้าก็พูดต่อว่าเลี้ยงลูกไม่ได้แล้ว เพราะมี 4 คนแล้ว

พี่เภสัช: "เค้าเป็นเลือดเนื้อของพี่นะ พี่จะทำเค้าได้ลงเหรอ" #พี่กำลังจะเป็นฆาตกรฆ่าคน เลยนะ ถ้าลูกคนนี้เกิดมาเป็นลูกที่เลี้ยงดูพี่ เป็น #ลูกหัวแก้วหัวแหวน ของพี่ล่ะ"

ลูกค้าเดินออกจากร้านไปด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า นศภ. ทั้งคู่ต่างก็ชื่นชมพี่เภสัชในใจว่าสุดยอดมาก เพราะพี่เภสัชสามารถรับมือกับสถานการณ์นี้ได้อย่างดีเยี่ยม


สาระดี ๆ เรื่องการคุมกำเนิด

การคุมกำเนิดมีหลายวิธี ทั้งยาคุมแบบกินทุกวัน ยาฉีด แผ่นแปะคุมกำเนิด และถุงยางอนามัย

  • ถุงยางอนามัย เป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะนอกจากจะคุมกำเนิดแล้ว ยังป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ด้วย แต่ก็ไม่ได้คุมได้ 100%

  • ยาคุมฉุกเฉิน ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด แต่เป็นวิธีที่สะดวกที่สุด ประสิทธิภาพต่ำกว่ายาคุมปกติ และอาจส่งผลกระทบต่อระดับฮอร์โมนและรอบเดือนในระยะยาวได้ แต่ถ้าฉุกเฉินจริง ๆ ก็ควรใช้

  • ไม่ว่าจะใช้วิธีคุมกำเนิดแบบไหนก็ตาม สามารถปรึกษาเภสัชกรที่ร้านยาได้เสมอ เภสัชกรไม่ตัดสินคุณ แต่กลับยินดีที่ได้ให้คำแนะนำมากกว่าการมาปฏิเสธเรื่องยาทำแท้ง

ข้อคิดสุดท้าย: ป้องกันไว้ดีกว่านะคะ คิดถึงอนาคตให้มาก ๆ ไม่ใช่แค่ความสนุกชั่วคราว...

เขียนเมื่อ 14 สิงหาคม 2558

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Namthip x งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 0

  Namthip x งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 0 จากโพสก่อนที่เล่าถึงเส้นทางการวิจัยมะเร็ง ที่เริ่มเรื่องมาตั้งแต่ ม.5 - ป.เอก ตอนที่ 0 นี้คือเรื่องความสะเปะสะปะ กว่าจะมาถึงเส้นทางวิจัยและวิทยาศาสตร์ . เรื่องมันเริ่มมาจากโจทย์แค่ว่า ทำไมยายถึงต้องตายเพราะมะเร็ง ทำไมหมอช่วยยายไม่ได้ ถ้ามีทางดีดีที่ยายไม่ตาย เราก็คงไม่ต้องมานั่งร้องอยู่อย่างนี้ นั่นหล่ะความคิดเด็ก ม.2 . ตอนนั้นก็กวาดทุกอย่างที่ขวางหน้า หรือต้องเป็นหมอศัลย์นะ? หรือว่าต้องโภชนาการต้านมะเร็ง? หรือว่าต้องแบบหมอสมหมาย ทองประเสริฐ? สิงซีเอ็ดบุ๊คสุดๆ อ่านฟรีบ้าง ซื้อบ้าง (มัน 18 ปีก่อน เน็ตยังไม่แพร่หลาย 555) . พ่อกับแม่ก็พยายามสนับสนุนนะ คือเค้าจะเป็นสายแบบเป็นแบ็ค จะไม่ชี้นำ แต่ถ้าดีดจะไปทางไหน จะช่วยดัน มันหรือถีบนะไม่แน่ใจ . ช่วง ม.2 แม่ก็พาไปเจอรุ่นพี่ที่ทำงานเก่าของแม่ คุณลุง ดร.วิรัตน์ คำศรีจันทร์ ที่มาบรรยายเกี่ยวกับงานวิจัยอะไรสักอย่าง จำได้เลยว่าใส่ชุดยุวกาชาด ไปนั่งฟังบรรยายซึ่งก็น่าจะไม่ค่อยรู้เรื่องด้วย แล้วก็ไปทานข้าวต่อกับวิทยากร ตอนนี้จำอะไรไม่ได้เลยว่าคุยอะไร จำได้อย่างเดียวคือ งานวิจัยนี่ดูเป็นอะไรที่เป็นเห...

Namthip x งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 1

  Namthip x งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 1   อยากบันทึกเรื่องราววิทยาศาสตร์ตอนวัยเด็กไว้สักหน่อย เป็นเรื่องราวที่อยากบันทึกไว้อ่านเอง ที่จริงควรจะเขียนตั้งแต่เหตุการณ์จบลงใหม่ๆ เพราะความรู้สึกจะยังคงสดใหม่ ภาษาก็อาจจะยังขำๆ กลับมาอ่านก็คงจะอมยิ้มไปอีกแบบ แต่บันทึกตอนนี้ก็ไม่สาย เพราะไม่รู้ว่าต่อไปวิทยาศาสตร์และงานวิจัย จะยังสดใสน่าตื่นเต้นเหมือนที่คิดตอนเด็กมั้ย งั้นรีบเขียนเลยแล้วกัน . บันทึกนี้คือบันทึกความรู้สึกที่อยู่ในใจ ย้อนกลับไปเมื่อสิบปีก่อน บางส่วนอาจจะเกี่ยวข้องกับการเมืองยุคปัจจุบัน แต่ถ้าเสพด้วยใจที่เป็นกลาง เป็นเหตุเป็นผล เข้าใจบริบทของสังคม เวลา และเข้าใจว่าทั้งหมดคือเรื่องราววิทยาศาสตร์ไม่ใช่การเมือง เรื่องเล่าทั้งหมดจะไม่ชวนให้ตะขิดตะขวงใจแต่อย่างใด ขอใช้ภาษาตามประสาเด็กๆ เมื่อสิบกว่าปีก่อนหล่ะกัน . ชอบวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่เด็ก แต่เรียนไม่ค่อยเก่งหรอก ชอบเล่นมากกว่า ทำของเล่นกับพ่อ หรือวุ่นวายกับสีดอกไม้หลังบ้านที่เอามาเล่นกับกรดเบส . จนหลังจากที่ยายเสียชีวิตเพราะมะเร็ง ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าทำไมหมอช่วยยายไม่ได้ ก็คิดนะว่าการแพทย์เป็นทางหนึ่ง แต่อาจจะมีทางที่ดีกว่า เขียนๆ...

Namthip x งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 6

 Namthip x งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 6   ตอนนี้ที่รอคอยยยย ว่าด้วยเรื่องราวตอนเรียนปริญญาเอก Scientific Lineage และ Mentor . จากเรื่องราวตอนก่อนๆ ตั้งแต่ ม.ต้น จนปี 6 ป ตรี เภสัช ที่ชีวิตว้าวุ่น กับการหาแลปเรียนต่อมากกว่าสอบใบประกอบวิชาชีพ . การเรียนต่อคือการเบี่ยงเข็มไปในทางที่ยิ่งแคบ ยิ่งเฉพาะทาง และแน่นอนเส้นทางอาชีพที่แคบลงไปอีก นี่ทำให้คิดหนักมากว่าเรียนอะไร ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ชอบวิจัยแบบไหนของมะเร็ง เพราะวิจัยมะเร็งนั้นกว้างมากกกกกกกกก . ถึงตรงนี้ขอบคุณอาจารย์ทุกท่านๆที่ให้โอกาสได้ค้นหาตัวเองว่าชอบวิจัยมะเร็งแบบไหนนะคะ . ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง เลยตัดสินใจเรียนปริญญาเอก สาขาเภสัชวิทยา ที่ศิริราช (มันคือ โทควบเอก ถ้าจบ ป ตรีด้วยเกียรตินิยม จะสมัครเรียนแบบนี้ได้เลยไม่ต้องผ่านโท) ซึ่งการเข้าเรียนแบบนี้ก็ถูกนับเป็นนักเรียน ป เอก แต่วิชาเรียนเยอะกว่า . การเรียน ป เอก นั้น จุดสำคัญคือทำวิจัยล้วนๆ แทบไม่มีอะไรผสม เอาหล่ะวะ สมใจอยาก 55555 อยากร่ำไปด้วยทำแลปไปด้วย สภาพพพพ . คือวิจัยนี่ไม่ได้เหมือนแลปที่เราทำตอนเรียนมัธยม ที่ใสๆกุ๊งกิ๊ง เพราะเป็นการทดสอบกฏหรือทฤษฎี ที่คนทั้งโลกทำมาเ...