ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ความสำคัญของอ้างอิง (Reference)

ความสำคัญของอ้างอิง (Reference)

...ที่จริงมีเห็นการหนึ่งที่ทำให้สะดุดกับความสำคัญของการอ้างอิงถึงงานต้นฉบับอย่างมากครั้งนึงตอนนั้นยังเรียนม.5 เเละไปเข้าค่ายThaiSciCamp2 การพูดของอาจารย์ยอดหทัย เทพธรานนท์ซึ่งตอนนั้นอาจารย์พูดประมาณว่า [ผมเป็นคณะกรรการพิจารณาเด็กรับทุนไปเรียนต่อ ป.เอก แต่ถ้าเค้าเอาภาพหรืออะไรที่ไม่ได้ทำขึ้นมาเองแล้วไม่ได้ให้เครดิตเจ้าของงานผมจะไม่ให้คนพวกนี้ไปเรียนต่อ] วันนี้คือเงิบสงัดทั้งนักเรียนยาวไปถึงวิทยากรท่านอื่นในวันนั้น​ ตั้งแต่นั้นมาก็รู้สึกว่าอ้างอิงสำคัญ 5555+

...ถ้าจะให้คิดเล่นๆความสำคัญของอ้างอิงมีเยอะมากนะ ลิสต์เป็นข้อน่าจะประมาณนี้
1. เป็นการเคารพความคิดเเละผลงานของผู้ที่เราอ้างอิงมา ถ้าไม่ใส่อ้างอิงคนอาจจะคิดว่าเราคิดมันขึ้นมาได้เอง อ้างอิงนี่ไม่ใช่แค่เปเปอร์ที่น่าเชื่อถือนะมันรวมไปถึงคำพูดและไอเดียด้วย
2.เป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้งานเรา อันนี้คือการอ้างอิงงานวิจัยหรือหนังสือเป็นส่วนใหญ่
3. ทำให้เราตามที่มาของเนื้อหานั้นๆได้ อันแยกออกเป็น 2 ประเด็นคือ
- ตามเนื้อหาในส่วนงานวิจัย เพื่อไปหารายละเอียดที่มากขึ้นจากงานต้นฉบับ
- ตามเนื้อหาหลังเรียน ประเด็นก็คือทุกคงเคยสังเกตว่าหลังสไลด์เรียนอาจารย์จะเขียนอ้างอิงที่ใช้ประกอบการสอนไว้แต่คงมีน้อยคนมากที่จะมองมันทั้งที่จริงแล้วเรารู้สึกว่าสไลด์นี้สำคัญมากพอๆกับภาพรวม(สารบัญ)ของหัวข้อที่เรียนและรู้สึกว่ามันสำคัญกว่าเนื้อหาซะอีก(ในตอนที่สอบเรื่องนั้นไปแล้วอ่ะนะ555)เพราะสไลด์ที่บอกภาพรวมจะทำให้เราเห็นภาพรวมว่ามีอะไรบ้างตรงไหนที่ต้องโฟกัสส่วนอ้างอิงจะทำให้เราตามไปหาเนื้อหาที่นับวันมันจะupdateใหม่เรื่อยๆและที่สำคัญถ้าเรารู้ว่าอาจารย์เอาหัวข้อนี้มาจากไหนในวันใดที่เราอยากกลับไปก็สามารถทำได้..เพราะเอาเข้าจริงๆไม่มีใครแบกชีทเรียนไปตลอดชีวิตแค่น้ำท่วมปลวกกินก็เกลี้ยงแล้ว

...การเขียนอ้างอิงที่มีหลายแบบที่จริงก็คงแค่อยากให้มีข้อมูลสำคัญที่จะสืบกลับไปได้อย่างถูกต้องและครบถ้วนนะ(คิดเอง555)

....เราเองก็เคยเขียนอ้างอิงขึ้นสไลด์เช่น credit by กลุ่มภาษาพาซน ก็ตอนนั้นชื่อโครงการคิดไม่ออกเลยขอความเห็นในกลุ่มและได้เอาชื่อมาใช้จริงกับเขียน
credit by FB อาจารย์ในคณะท่านนึงตอนนั้นก็เอาไอเดียที่อาจารย์โพสไว้ไปใช้กับคนไข้แล้วต้องขึ้นสไลด์พรีเซนก็เลยขอบคุณอาจารย์ไว้ถ้าไม่ใส่เดี๋ยวคนอื่นจะเข้าใจว่าคิดได้เองนั่นจะเก่งเกินไป5555

...ท่านไหนมาอ่านเจอโพสนี้อยากเสนออะไรเพิ่มก็ยินดีเลยนะคะ^^
 
เขียนเมื่อ 14 กันยายน 2016 

 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Namthip x งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 0

  Namthip x งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 0 จากโพสก่อนที่เล่าถึงเส้นทางการวิจัยมะเร็ง ที่เริ่มเรื่องมาตั้งแต่ ม.5 - ป.เอก ตอนที่ 0 นี้คือเรื่องความสะเปะสะปะ กว่าจะมาถึงเส้นทางวิจัยและวิทยาศาสตร์ . เรื่องมันเริ่มมาจากโจทย์แค่ว่า ทำไมยายถึงต้องตายเพราะมะเร็ง ทำไมหมอช่วยยายไม่ได้ ถ้ามีทางดีดีที่ยายไม่ตาย เราก็คงไม่ต้องมานั่งร้องอยู่อย่างนี้ นั่นหล่ะความคิดเด็ก ม.2 . ตอนนั้นก็กวาดทุกอย่างที่ขวางหน้า หรือต้องเป็นหมอศัลย์นะ? หรือว่าต้องโภชนาการต้านมะเร็ง? หรือว่าต้องแบบหมอสมหมาย ทองประเสริฐ? สิงซีเอ็ดบุ๊คสุดๆ อ่านฟรีบ้าง ซื้อบ้าง (มัน 18 ปีก่อน เน็ตยังไม่แพร่หลาย 555) . พ่อกับแม่ก็พยายามสนับสนุนนะ คือเค้าจะเป็นสายแบบเป็นแบ็ค จะไม่ชี้นำ แต่ถ้าดีดจะไปทางไหน จะช่วยดัน มันหรือถีบนะไม่แน่ใจ . ช่วง ม.2 แม่ก็พาไปเจอรุ่นพี่ที่ทำงานเก่าของแม่ คุณลุง ดร.วิรัตน์ คำศรีจันทร์ ที่มาบรรยายเกี่ยวกับงานวิจัยอะไรสักอย่าง จำได้เลยว่าใส่ชุดยุวกาชาด ไปนั่งฟังบรรยายซึ่งก็น่าจะไม่ค่อยรู้เรื่องด้วย แล้วก็ไปทานข้าวต่อกับวิทยากร ตอนนี้จำอะไรไม่ได้เลยว่าคุยอะไร จำได้อย่างเดียวคือ งานวิจัยนี่ดูเป็นอะไรที่เป็นเห...

Namthip x งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 1

  Namthip x งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 1   อยากบันทึกเรื่องราววิทยาศาสตร์ตอนวัยเด็กไว้สักหน่อย เป็นเรื่องราวที่อยากบันทึกไว้อ่านเอง ที่จริงควรจะเขียนตั้งแต่เหตุการณ์จบลงใหม่ๆ เพราะความรู้สึกจะยังคงสดใหม่ ภาษาก็อาจจะยังขำๆ กลับมาอ่านก็คงจะอมยิ้มไปอีกแบบ แต่บันทึกตอนนี้ก็ไม่สาย เพราะไม่รู้ว่าต่อไปวิทยาศาสตร์และงานวิจัย จะยังสดใสน่าตื่นเต้นเหมือนที่คิดตอนเด็กมั้ย งั้นรีบเขียนเลยแล้วกัน . บันทึกนี้คือบันทึกความรู้สึกที่อยู่ในใจ ย้อนกลับไปเมื่อสิบปีก่อน บางส่วนอาจจะเกี่ยวข้องกับการเมืองยุคปัจจุบัน แต่ถ้าเสพด้วยใจที่เป็นกลาง เป็นเหตุเป็นผล เข้าใจบริบทของสังคม เวลา และเข้าใจว่าทั้งหมดคือเรื่องราววิทยาศาสตร์ไม่ใช่การเมือง เรื่องเล่าทั้งหมดจะไม่ชวนให้ตะขิดตะขวงใจแต่อย่างใด ขอใช้ภาษาตามประสาเด็กๆ เมื่อสิบกว่าปีก่อนหล่ะกัน . ชอบวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่เด็ก แต่เรียนไม่ค่อยเก่งหรอก ชอบเล่นมากกว่า ทำของเล่นกับพ่อ หรือวุ่นวายกับสีดอกไม้หลังบ้านที่เอามาเล่นกับกรดเบส . จนหลังจากที่ยายเสียชีวิตเพราะมะเร็ง ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าทำไมหมอช่วยยายไม่ได้ ก็คิดนะว่าการแพทย์เป็นทางหนึ่ง แต่อาจจะมีทางที่ดีกว่า เขียนๆ...

Namthip x งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 6

 Namthip x งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 6   ตอนนี้ที่รอคอยยยย ว่าด้วยเรื่องราวตอนเรียนปริญญาเอก Scientific Lineage และ Mentor . จากเรื่องราวตอนก่อนๆ ตั้งแต่ ม.ต้น จนปี 6 ป ตรี เภสัช ที่ชีวิตว้าวุ่น กับการหาแลปเรียนต่อมากกว่าสอบใบประกอบวิชาชีพ . การเรียนต่อคือการเบี่ยงเข็มไปในทางที่ยิ่งแคบ ยิ่งเฉพาะทาง และแน่นอนเส้นทางอาชีพที่แคบลงไปอีก นี่ทำให้คิดหนักมากว่าเรียนอะไร ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ชอบวิจัยแบบไหนของมะเร็ง เพราะวิจัยมะเร็งนั้นกว้างมากกกกกกกกก . ถึงตรงนี้ขอบคุณอาจารย์ทุกท่านๆที่ให้โอกาสได้ค้นหาตัวเองว่าชอบวิจัยมะเร็งแบบไหนนะคะ . ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง เลยตัดสินใจเรียนปริญญาเอก สาขาเภสัชวิทยา ที่ศิริราช (มันคือ โทควบเอก ถ้าจบ ป ตรีด้วยเกียรตินิยม จะสมัครเรียนแบบนี้ได้เลยไม่ต้องผ่านโท) ซึ่งการเข้าเรียนแบบนี้ก็ถูกนับเป็นนักเรียน ป เอก แต่วิชาเรียนเยอะกว่า . การเรียน ป เอก นั้น จุดสำคัญคือทำวิจัยล้วนๆ แทบไม่มีอะไรผสม เอาหล่ะวะ สมใจอยาก 55555 อยากร่ำไปด้วยทำแลปไปด้วย สภาพพพพ . คือวิจัยนี่ไม่ได้เหมือนแลปที่เราทำตอนเรียนมัธยม ที่ใสๆกุ๊งกิ๊ง เพราะเป็นการทดสอบกฏหรือทฤษฎี ที่คนทั้งโลกทำมาเ...