ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ป เอก และงานวิจัยของแก ทำไมมันดูยากและทำเพื่อมวลมนุษยชาติขนาดนี้วะ


"ป เอก และงานวิจัยของแก ทำไมมันดูยากและทำเพื่อมวลมนุษยชาติขนาดนี้วะ"

.
นั่นหล่ะบทสนทนาของฉัน
ว่าด้วยเรื่องงานวิจัยยานแม่มะเร็ง
ที่เล่าให้พี่คนนึงในกลุ่มคนไข้บ้าพลังฟัง
ขณะที่เรากำลังตระเวนหาอาหารย่านวังหลังกินกัน
.
งานวิจัยที่ผลออกมาอย่างที่ทำให้ใจเต้นรัวทุกครั้ง
ก็รู้สึกว่าตัวเองอินกับงานวิจัยชิ้นนี้เอามากเหมือนกัน
ตอนแรกก็คิดว่าคงเพราะเห็นพี่ๆคนไข้มะเร็ง
ตั้งความหวังกับงานวิจัยว่าจะช่วยให้ชีวิตคนไข้ดีขึ้น
แต่ดูเหมือนมันจะไม่ใช่เพียงแค่นั้นหน่ะสิ
.
จากประโยคกึ่งคำถามของขุ่นเจ้
ทำให้เราตอบกลับไปว่า
งานวิจัยที่ดูซับซ้อนทำอะไรเยอะเเยะนั่น
มันเกิดขึ้นจากงานที่ต่อยอดมาจากงานของคนอื่น
.
เหมือนเรากำลังเก็บสะสมความรู้จากสิ่งที่คนอื่นเจอมาก่อน (literature review)
เรากำลังก้าวขึ้นบันไดความรู้ที่สร้างไว้โดยคนก่อนหน้า
มาสร้างองค์ความรู้ใหม่ขึ้นทีละเล็ก ทีละน้อยของตัวเอง
และวงการวิทยาศาสตร์นี้เองก็ยังมีวัฒนธรรม
ที่จะเรียกว่าบังคับก็ว่าได้
นั่นคือความรู้ที่เราสร้างก็จะเป็นบันไดขั้นนึงให้คนอื่นก้าวต่อไปเช่นกัน
โดยสิ่งที่ได้ตอบแทนซึ่งเปรียบเสมือนคำขอบคุณก็คือ citation
.
นั่นคือความน่าหลงใหลของวิทยาศาสตร์
การสร้างสิ่งใหม่ไม่รู้จบ
การมุ่งหวังให้เกิดสิ่งต่อยอดโดยไม่หวงแหน
การยึดหลักของเหตุและผล รวมถึงหลักฐานเชิงประจักษ์
และการกล่าวขอบคุณในองค์ความรู้ใดใดที่ได้รับมา
ไม่ว่าจะเป็นการสอนสั่งหรือคำแนะนำจากรุ่นพี่ อาจารย์ คนแปลกหน้า (reviewer) หรือกระทั่งบทความของใครก็ไม่รู้(references)
.
ไม่มีอะไรน่าเหนียมอายที่ผู้อาวุโสจะบอกว่าไม่รู้
และไม่มีอะไรเสียหายถ้าเด็กน้อยจะยกมือตอบ
.
ดูๆไปวิทยาศาสตร์นี่ก็แสนจะศิวิไล
หากจะไม่หลงใหล คงจะใจเหน็บ ใจชาเสียเต็มที
.
วิทยาศาสตร์อันดีงามในอุดมคติ
ทำให้เราหลงลืมไปอย่างสนิทใจว่า
.
ศาสตร์ที่สวยงามเช่นนี้
ถูกสร้างมาและสานต่อด้วยความคิดความอ่านของมนุษย์
.
มนุษย์ที่ยังมีความโลภ โกรธ หลง กล่าวร้ายนินทา
อิจฉาริษยา หรือกระทั่งสรรเสริญเยินยอ
หากแม้นมิอยู่ในใจส่วนลึก
ก็คงอยู่ในใจส่วนตื้น
เพียงแต่จะสักกี่มากน้อย ก็สุดแท้แต่ตัวคน
.
วิทยาศาสตร์นอกหนังสือเรียน
จึงเสมือนสิ่งที่คละเคล้าไปด้วย
กลิ่นอายและนิสัยใจคอของมนุษย์
อย่างแยกกันไม่ขาด
.
การมี community เล็กๆ
มีเพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้องและอาจารย์
ที่ช่วยสนับสนุนผลักดันกันและกันให้ไปข้างหน้าได้อย่างสนิทใจ
ยินดีในความสำเร็จของทุกคนเหมือนช่วยกันสร้างขึ้นมา
บางครั้งเกิดขึ้นในรูปแบบปรึกษาส่วนตัว
บางครั้งเป็นงานประชุมหามรุ่งหามค่ำหลายวันติดกัน
บางครั้งเป็น group discussion เล็กๆลับๆ
หรือบางทีก็ชวนกันไปเดินเล่น บ่นๆในสวนลับ
ก็ช่วงที่ชีวิตชุ่มชื่น กระชุ่มกระชวย
.
แต่หากที่ใดมีวิทยาศาสตร์ที่แท้ให้ได้ลิ้มชิมรส
ก็อยากจะลองชิมดูสักครั้ง
คงจะได้ดีดตัวออกจากที่นอนแบบสดชื่นทุกวัน
และรสที่ได้ลิ้ม กลิ่นที่ใดยลนั้น
คงจะติดใจมิรู้เลือน
#namthipphdstory #NoCancer #NoCancerTH
=============
โพสต์เมื่อ 4 ปีก่อน
กลับมาอ่านแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองเขียนสวย
AI จะเลียนแบบก็คงยาก
.
เวลาผ่านไปตอนนี้รู้สึกสนุกสนานกับการได้ลอง mentoring ใครก็ไม่รู้ที่ติดต่อหลังไมค์เข้ามากันเอง
โลก online แบบ international มีอะไรสนุกๆให้ลองทำเยอะเลย
.
เวลาผ่านไปวิทยาศาสตร์ยังสวยงามเหมือนเดิม
เพิ่มเติมคือรู้มุมไม่ดีๆของวงการเยอะขึ้น
ศรัทธาในตัวคนน้อยลง
จนยังเหลือศรัทธานั้นสักแค่ไหน...ก็กะไม่ถูกเหมือนกัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Namthip x งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 0

  Namthip x งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 0 จากโพสก่อนที่เล่าถึงเส้นทางการวิจัยมะเร็ง ที่เริ่มเรื่องมาตั้งแต่ ม.5 - ป.เอก ตอนที่ 0 นี้คือเรื่องความสะเปะสะปะ กว่าจะมาถึงเส้นทางวิจัยและวิทยาศาสตร์ . เรื่องมันเริ่มมาจากโจทย์แค่ว่า ทำไมยายถึงต้องตายเพราะมะเร็ง ทำไมหมอช่วยยายไม่ได้ ถ้ามีทางดีดีที่ยายไม่ตาย เราก็คงไม่ต้องมานั่งร้องอยู่อย่างนี้ นั่นหล่ะความคิดเด็ก ม.2 . ตอนนั้นก็กวาดทุกอย่างที่ขวางหน้า หรือต้องเป็นหมอศัลย์นะ? หรือว่าต้องโภชนาการต้านมะเร็ง? หรือว่าต้องแบบหมอสมหมาย ทองประเสริฐ? สิงซีเอ็ดบุ๊คสุดๆ อ่านฟรีบ้าง ซื้อบ้าง (มัน 18 ปีก่อน เน็ตยังไม่แพร่หลาย 555) . พ่อกับแม่ก็พยายามสนับสนุนนะ คือเค้าจะเป็นสายแบบเป็นแบ็ค จะไม่ชี้นำ แต่ถ้าดีดจะไปทางไหน จะช่วยดัน มันหรือถีบนะไม่แน่ใจ . ช่วง ม.2 แม่ก็พาไปเจอรุ่นพี่ที่ทำงานเก่าของแม่ คุณลุง ดร.วิรัตน์ คำศรีจันทร์ ที่มาบรรยายเกี่ยวกับงานวิจัยอะไรสักอย่าง จำได้เลยว่าใส่ชุดยุวกาชาด ไปนั่งฟังบรรยายซึ่งก็น่าจะไม่ค่อยรู้เรื่องด้วย แล้วก็ไปทานข้าวต่อกับวิทยากร ตอนนี้จำอะไรไม่ได้เลยว่าคุยอะไร จำได้อย่างเดียวคือ งานวิจัยนี่ดูเป็นอะไรที่เป็นเห...

Namthip x งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 1

  Namthip x งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 1   อยากบันทึกเรื่องราววิทยาศาสตร์ตอนวัยเด็กไว้สักหน่อย เป็นเรื่องราวที่อยากบันทึกไว้อ่านเอง ที่จริงควรจะเขียนตั้งแต่เหตุการณ์จบลงใหม่ๆ เพราะความรู้สึกจะยังคงสดใหม่ ภาษาก็อาจจะยังขำๆ กลับมาอ่านก็คงจะอมยิ้มไปอีกแบบ แต่บันทึกตอนนี้ก็ไม่สาย เพราะไม่รู้ว่าต่อไปวิทยาศาสตร์และงานวิจัย จะยังสดใสน่าตื่นเต้นเหมือนที่คิดตอนเด็กมั้ย งั้นรีบเขียนเลยแล้วกัน . บันทึกนี้คือบันทึกความรู้สึกที่อยู่ในใจ ย้อนกลับไปเมื่อสิบปีก่อน บางส่วนอาจจะเกี่ยวข้องกับการเมืองยุคปัจจุบัน แต่ถ้าเสพด้วยใจที่เป็นกลาง เป็นเหตุเป็นผล เข้าใจบริบทของสังคม เวลา และเข้าใจว่าทั้งหมดคือเรื่องราววิทยาศาสตร์ไม่ใช่การเมือง เรื่องเล่าทั้งหมดจะไม่ชวนให้ตะขิดตะขวงใจแต่อย่างใด ขอใช้ภาษาตามประสาเด็กๆ เมื่อสิบกว่าปีก่อนหล่ะกัน . ชอบวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่เด็ก แต่เรียนไม่ค่อยเก่งหรอก ชอบเล่นมากกว่า ทำของเล่นกับพ่อ หรือวุ่นวายกับสีดอกไม้หลังบ้านที่เอามาเล่นกับกรดเบส . จนหลังจากที่ยายเสียชีวิตเพราะมะเร็ง ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าทำไมหมอช่วยยายไม่ได้ ก็คิดนะว่าการแพทย์เป็นทางหนึ่ง แต่อาจจะมีทางที่ดีกว่า เขียนๆ...

Namthip x งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 6

 Namthip x งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 6   ตอนนี้ที่รอคอยยยย ว่าด้วยเรื่องราวตอนเรียนปริญญาเอก Scientific Lineage และ Mentor . จากเรื่องราวตอนก่อนๆ ตั้งแต่ ม.ต้น จนปี 6 ป ตรี เภสัช ที่ชีวิตว้าวุ่น กับการหาแลปเรียนต่อมากกว่าสอบใบประกอบวิชาชีพ . การเรียนต่อคือการเบี่ยงเข็มไปในทางที่ยิ่งแคบ ยิ่งเฉพาะทาง และแน่นอนเส้นทางอาชีพที่แคบลงไปอีก นี่ทำให้คิดหนักมากว่าเรียนอะไร ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ชอบวิจัยแบบไหนของมะเร็ง เพราะวิจัยมะเร็งนั้นกว้างมากกกกกกกกก . ถึงตรงนี้ขอบคุณอาจารย์ทุกท่านๆที่ให้โอกาสได้ค้นหาตัวเองว่าชอบวิจัยมะเร็งแบบไหนนะคะ . ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง เลยตัดสินใจเรียนปริญญาเอก สาขาเภสัชวิทยา ที่ศิริราช (มันคือ โทควบเอก ถ้าจบ ป ตรีด้วยเกียรตินิยม จะสมัครเรียนแบบนี้ได้เลยไม่ต้องผ่านโท) ซึ่งการเข้าเรียนแบบนี้ก็ถูกนับเป็นนักเรียน ป เอก แต่วิชาเรียนเยอะกว่า . การเรียน ป เอก นั้น จุดสำคัญคือทำวิจัยล้วนๆ แทบไม่มีอะไรผสม เอาหล่ะวะ สมใจอยาก 55555 อยากร่ำไปด้วยทำแลปไปด้วย สภาพพพพ . คือวิจัยนี่ไม่ได้เหมือนแลปที่เราทำตอนเรียนมัธยม ที่ใสๆกุ๊งกิ๊ง เพราะเป็นการทดสอบกฏหรือทฤษฎี ที่คนทั้งโลกทำมาเ...