ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ที่ใดมีชีวิต ที่นั่นมีความหวัง

 

"อมตะ ฆ่าไม่ตาย เป็นคำที่สอดคล้องกับชีวิตอย่างไม่น่าประหลาดใจนัก ในวงการวิทยาศาสตร์พลานาเรียซึ่งเป็นหนอนตัวแบนชนิดหนึ่ง ขึ้นชื่อเรื่องความเป็นอมตะ ยิ่งหั่นพลานาเรียเป็นชิ้นจำนวนมากเท่าไหร่ ก็คือการให้กำเนิดพลานาเรียตัวใหม่มากขึ้นเท่านั้น
.
เรื่องแบบนี้ช่างกลับกันกับคนเราอย่างสิ้นเชิงเพราะยิ่งเจอเรื่องที่ทำให้เจ็บช้ำเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้กำลังใจทดถอย เมื่อไม่มีกำลังใจเสียแล้ว คนเราก็คงสู้ต่อไปไม่ได้
.
ในโลกที่แสนวุ่นวายและเร่งรีบ ปัญหาที่ยังปราณีอยู่บ้าง ก็ยังค่อย ๆ ทยอยกันเข้ามา แต่บางปัญหาก็ไม่ได้สนใจใยดีต่อสภาพจิตใจเราเท่าใดนัก ความเจ็บไข้ได้ป่วยก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง ที่พร้อมจะทำให้ทุกอย่างที่คาดหวังพังราบเป็นหน้ากลอง มันเป็นความโชคร้ายที่ไม่มีใครอยากให้เกิด ยิ่งโรคที่ต่อให้จะรักษาสุขภาพดีพร้อมขนาดไหนก็มิวายจะเกิดขึ้น เกินกว่าที่จะคาดเดา ความเจ็บป่วยนั้นจึงราวกับคำสาป
.
เส้นทางของการรักษาที่ยาวไกล มีเพียงหมอและคนไข้เท่านั้นที่เดินด้วยกันไปตลอดทาง เทียนที่เปร่งแสงสีเหลืองนวลสุกใส ด้วยความมุ่งมั่นในการรักษาและจรรยาญาบรรณแห่งวิชาชีพถูกถืออย่างมั่นคงในมือของหมอเจ้าของไข้ นั่นเป็นเพียงแสงเดียวในอุโมงค์ที่มืดสนิท ไม่มีแม้แสงและเสียงอื่นใดจะเล็ดลอดออกมาได้ ความหนาวเย็นที่ซาบลึกลงถึงกระดูก ความหดหู่นั้นยากเกินกว่าที่จะเล่าขาดต่อให้ใครต่อใครฟัง
.
คนไข้ได้แต่กัดฟันเพื่อข่มความกลัวไว้ เฝ้ามองแสงเทียนนั้นและค่อย ๆ คืบคลานตามแสงเทียนแห่งความหวังไปอย่างเนิบช้า โดยที่ไม่รู้เลยว่าระหว่างทางจะพบอุปสรรคใด และกระนั้นเองก็อย่าได้แม้แต่เอ่ยถามว่าการเดินทางครั้งนั้นจะไปถึงจุดหมายหรือจบลงเช่นใด
.
แต่หากคนไข้ผู้นั้นได้เหลียวมองข้างกาย ก็จะพบเพื่อร่วมโรคที่บ้างก็ใจหดหู่ บ้างก็ยิ้มแย้ม บ้างก็เล่าขานว่ารู้จักคนที่เดินตามแสงแห่งเทียนนี้ไปจนสุดอุโมงค์ของการรักษาด้วยความแกล้วกล้า
.
คนไข้ที่เดินตามเเสงเทียนเริ่มบทสนทนาที่ปลุกไฟของความหวังที่ริบรี่ ของกันและกันขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องเกริ่นนำถึงความเจ็บปวดทรมานจากเส้นทางของโรคภัย ต่างคนจากต่างพื้นเพ ต่างชนิดโรค และต่างความรุนแรง ไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นเลยสำหรับการแข่งขันว่าผู้ใดป่วยได้หนักหนาที่สุด การเปรียบเทียบมีเพียงคนไข้คนนั้นกำลังสู้หรือได้จากโลกนี้ไปแล้วเท่านั้น
.
ในวันที่ท้อจนแทบไม่เหลือความหวังใดใด วันที่ถูกหลายต่อหลายคนตีตราเพียงเพราะความเจ็บป่วยที่ราวกับถูกสาป ต้องเจอคำถามที่บ่งบอกถึงความกังขาระหว่างความสามารถในการทำงานกับสุขภาพที่ดูจะแย่ลง แม้จะเก่งกาจสักเพียงใด หากสุขภาพไม่ดีแล้วไซร้ ก็คงมิอาจเดินตามความมุ่งมาดปรารถนาที่มีต่อไปได้
.
คืนและวันที่ผ่านไปอย่างเชื่องช้า สิ่งที่ทำได้มีเพียงอดทนรอและเดินตามแสงเทียนของหมอเจ้าของไข้ ท่ามกลางเสียงให้กำลังใจจากคนจำนวนน้อยนิด แต่กลับดังกังวาลในหัวใจยิ่งนัก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ช่วงเวลาที่โหดร้ายนี้จะต้องผ่านไปในท้ายที่สุด
.
แท้จริงแล้วมนุษย์เราก็ยังคงมีสัญชาตญาณเหมือนสัตว์ตัวเล็ก ๆ อย่างพลานาเรีย ด้วยสัญชาตญาณที่สืบทอดมาถึงมนุษย์และฝังรากลึกในระดับพันธุกรรมก็คือ
"สัญชาตญาณของการฮึดสู้"
ไม่ว่าการต่อสู้จะยังผลให้ชีวิตที่เหลือรอดมานั้น
เป็นแบบใดก็ตาม
.
อย่างไรเสีย ชีวิตที่ยืนยาวเป็นนิจนิรันดร์
ก็ไม่อาจเป็นชีวิตที่ชวนให้ปรารถนาได้
ด้วยเวลาซึ่งเป็นสิ่งล้ำค่านั้น
ไม่ได้มีความหมายต่อชีวิตที่เป็นนิรันดร์อีกต่อไป
.
เพราะเหตุนี้ความหมายของชีวิต
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งใดเลย
เว้นเสียแต่ความคาดหวังของเจ้าของชีวิตเท่านั้น
.
"ชีวิตจะมีความหวังได้หรือไม่นั้น
ก็ย่อมขึ้นอยู่กับความคาดหวังในใจของเจ้าของชีวิต""

=================

ดัดแปลงบางส่วนจากที่เนื้อความที่ส่งประกวดวรรณกรรม “วรรณศิลป์อุชเชนีปี 2562”
เป็นงานเขียนที่เก็บข้อมูลนานที่สุด
แต่เขียนด้วยเวลาสั้นที่สุด
ข้อมูลที่เป็นโครงหลักไม่ได้เกิดจากการอ่าน
เหมือนงานอื่นๆ
แต่เกิดจากการผ่านช่วงเวลา
ที่ไม่รู้ชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อ
ถ้าชีวิตไม่เหลือความหวังอะไรอีกต่อไป
งานชิ้นนี้ก็จะไม่ถูกเขียนขึ้น
.
แค่ผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ ได้เขียนงานนี้
(แม้จะไม่ได้รางวัลการประกวดก็เถอะ 55)
แบบดีใจกับสิ่งที่ตัวเองได้อดทนผ่านมา
และได้แต่ขอบคุณหลายๆคนที่ยังอยู่ข้างๆ
ในวันที่ไม่เหลืออะไรให้เสีย
โดยเฉพาะครอบครัว หมอ อาจารย์ที่ปรึกษา
และผู้มีพระคุณที่แทบจะเรียกว่าให้ชีวิตก็ว่าได้
.
Ref แรงบันดาลใจในการเขียน:
1. เรื่องราวของพลานาเรีย ได้ไอเดีจาก อ.นำชัย แล้วก็เจอบทความนี้ Prospectively Isolated Tetraspanin+ Neoblasts Are Adult Pluripotent Stem Cells Underlying Planaria Regeneration
2. A Brief History of Stephen Hawking เขียนโดย ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ
3. ช่วงชีวิตที่ป่วยด้วยหอบหืดขั้นรุนแรง จนชีวิตเละเทะ ดรอปเรียนไปนอนงับลมกว่าครึ่งปี
.
Credit ภาพ: เป็น 2 สถานที่ที่เหมือนเป็นสัญลักษณ์ของความหวัง มารวมในภาพเดียว ภาพนึงคือมูลนิธิจุฬาภรณ์ และอีกภาพคือศิริราช
เขียนเมื่อ 19 ตุลาคม 2019

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Namthip x งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 0

  Namthip x งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 0 จากโพสก่อนที่เล่าถึงเส้นทางการวิจัยมะเร็ง ที่เริ่มเรื่องมาตั้งแต่ ม.5 - ป.เอก ตอนที่ 0 นี้คือเรื่องความสะเปะสะปะ กว่าจะมาถึงเส้นทางวิจัยและวิทยาศาสตร์ . เรื่องมันเริ่มมาจากโจทย์แค่ว่า ทำไมยายถึงต้องตายเพราะมะเร็ง ทำไมหมอช่วยยายไม่ได้ ถ้ามีทางดีดีที่ยายไม่ตาย เราก็คงไม่ต้องมานั่งร้องอยู่อย่างนี้ นั่นหล่ะความคิดเด็ก ม.2 . ตอนนั้นก็กวาดทุกอย่างที่ขวางหน้า หรือต้องเป็นหมอศัลย์นะ? หรือว่าต้องโภชนาการต้านมะเร็ง? หรือว่าต้องแบบหมอสมหมาย ทองประเสริฐ? สิงซีเอ็ดบุ๊คสุดๆ อ่านฟรีบ้าง ซื้อบ้าง (มัน 18 ปีก่อน เน็ตยังไม่แพร่หลาย 555) . พ่อกับแม่ก็พยายามสนับสนุนนะ คือเค้าจะเป็นสายแบบเป็นแบ็ค จะไม่ชี้นำ แต่ถ้าดีดจะไปทางไหน จะช่วยดัน มันหรือถีบนะไม่แน่ใจ . ช่วง ม.2 แม่ก็พาไปเจอรุ่นพี่ที่ทำงานเก่าของแม่ คุณลุง ดร.วิรัตน์ คำศรีจันทร์ ที่มาบรรยายเกี่ยวกับงานวิจัยอะไรสักอย่าง จำได้เลยว่าใส่ชุดยุวกาชาด ไปนั่งฟังบรรยายซึ่งก็น่าจะไม่ค่อยรู้เรื่องด้วย แล้วก็ไปทานข้าวต่อกับวิทยากร ตอนนี้จำอะไรไม่ได้เลยว่าคุยอะไร จำได้อย่างเดียวคือ งานวิจัยนี่ดูเป็นอะไรที่เป็นเห...

Namthip x งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 1

  Namthip x งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 1   อยากบันทึกเรื่องราววิทยาศาสตร์ตอนวัยเด็กไว้สักหน่อย เป็นเรื่องราวที่อยากบันทึกไว้อ่านเอง ที่จริงควรจะเขียนตั้งแต่เหตุการณ์จบลงใหม่ๆ เพราะความรู้สึกจะยังคงสดใหม่ ภาษาก็อาจจะยังขำๆ กลับมาอ่านก็คงจะอมยิ้มไปอีกแบบ แต่บันทึกตอนนี้ก็ไม่สาย เพราะไม่รู้ว่าต่อไปวิทยาศาสตร์และงานวิจัย จะยังสดใสน่าตื่นเต้นเหมือนที่คิดตอนเด็กมั้ย งั้นรีบเขียนเลยแล้วกัน . บันทึกนี้คือบันทึกความรู้สึกที่อยู่ในใจ ย้อนกลับไปเมื่อสิบปีก่อน บางส่วนอาจจะเกี่ยวข้องกับการเมืองยุคปัจจุบัน แต่ถ้าเสพด้วยใจที่เป็นกลาง เป็นเหตุเป็นผล เข้าใจบริบทของสังคม เวลา และเข้าใจว่าทั้งหมดคือเรื่องราววิทยาศาสตร์ไม่ใช่การเมือง เรื่องเล่าทั้งหมดจะไม่ชวนให้ตะขิดตะขวงใจแต่อย่างใด ขอใช้ภาษาตามประสาเด็กๆ เมื่อสิบกว่าปีก่อนหล่ะกัน . ชอบวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่เด็ก แต่เรียนไม่ค่อยเก่งหรอก ชอบเล่นมากกว่า ทำของเล่นกับพ่อ หรือวุ่นวายกับสีดอกไม้หลังบ้านที่เอามาเล่นกับกรดเบส . จนหลังจากที่ยายเสียชีวิตเพราะมะเร็ง ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าทำไมหมอช่วยยายไม่ได้ ก็คิดนะว่าการแพทย์เป็นทางหนึ่ง แต่อาจจะมีทางที่ดีกว่า เขียนๆ...

Namthip x งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 6

 Namthip x งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 6   ตอนนี้ที่รอคอยยยย ว่าด้วยเรื่องราวตอนเรียนปริญญาเอก Scientific Lineage และ Mentor . จากเรื่องราวตอนก่อนๆ ตั้งแต่ ม.ต้น จนปี 6 ป ตรี เภสัช ที่ชีวิตว้าวุ่น กับการหาแลปเรียนต่อมากกว่าสอบใบประกอบวิชาชีพ . การเรียนต่อคือการเบี่ยงเข็มไปในทางที่ยิ่งแคบ ยิ่งเฉพาะทาง และแน่นอนเส้นทางอาชีพที่แคบลงไปอีก นี่ทำให้คิดหนักมากว่าเรียนอะไร ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ชอบวิจัยแบบไหนของมะเร็ง เพราะวิจัยมะเร็งนั้นกว้างมากกกกกกกกก . ถึงตรงนี้ขอบคุณอาจารย์ทุกท่านๆที่ให้โอกาสได้ค้นหาตัวเองว่าชอบวิจัยมะเร็งแบบไหนนะคะ . ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง เลยตัดสินใจเรียนปริญญาเอก สาขาเภสัชวิทยา ที่ศิริราช (มันคือ โทควบเอก ถ้าจบ ป ตรีด้วยเกียรตินิยม จะสมัครเรียนแบบนี้ได้เลยไม่ต้องผ่านโท) ซึ่งการเข้าเรียนแบบนี้ก็ถูกนับเป็นนักเรียน ป เอก แต่วิชาเรียนเยอะกว่า . การเรียน ป เอก นั้น จุดสำคัญคือทำวิจัยล้วนๆ แทบไม่มีอะไรผสม เอาหล่ะวะ สมใจอยาก 55555 อยากร่ำไปด้วยทำแลปไปด้วย สภาพพพพ . คือวิจัยนี่ไม่ได้เหมือนแลปที่เราทำตอนเรียนมัธยม ที่ใสๆกุ๊งกิ๊ง เพราะเป็นการทดสอบกฏหรือทฤษฎี ที่คนทั้งโลกทำมาเ...