ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

คลีทเสือหมอบ - Break The Limit!!!


คิดถึงโม้เม้นนึงตอนช่วงแข่งจักรยานเยอะๆขึ้นมา
มันไม่ใช่โม้เม้นน่าประทับใจจนชวนให้น่าจดจำ
ในทางตรงกันข้าม มันน่าเจ็บใจจนชวนให้จำต่างหาก
.
งานแข่งนั้นเป็นงานที่
ระยะทางสั้นที่สุดแค่ 40 กว่า กม.
เส้นทางที่คุ้นเคยที่สุด เพราะเป็นเส้นที่ใช้ซ้อม
จำได้กระทั่งว่าตรงไหนพื้นถนนไม่ดี
ตรงไหนมีหลุมต้องระวัง
.
เป็นช่วงที่ซ้อมฟิตที่สุด
ตามหลังผู้ชายปั่นถึกๆเร็วๆก็ไม่ค่อยหลุด
.
ปั่นจบรับถ้วยรางวัล แบบงงๆ
และถึงตอนนี้ก็จำไม่ได้หล่ะว่าได้ลำดับที่เท่าไหร่
.
แต่จำได้แม่นว่าตอนแข่ง
การเตรียมตัวที่พร้อมที่สุดเท่าที่จะพร้อมได้ในครั้งนั้น
กลับมีช่วงโหว่ชิ้นโต "ขาเป็นตะคริว"
ถ้าไม่เพลาแรงลงและยืดกล้ามเนื้อมัดนั้น
มันจะยิ่งหนักกว่าเก่า เผลอๆจะต้องจอดระหว่างทาง
แบบนั้นไม่ต้องนับเลยว่าจะติดถ้วยหรือเปล่า
.
ทั้งที่หัวใจกับปอดยังเหลืออีกประมาณนึง
แต่ขามันไปไม่ได้หล่ะ
มันคือจุดอ่อนที่เพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก
ครั้งก่อนๆ ก็ปอดหมด หัวใจเกลี้ยงซึ่งก็ปกติ
ครั้งนี้ต่างออกไป...มากโข
มันทำให้คิดหล่ะว่าสนามหน้าจะสนุกอยู่ได้ยังไง
.
หลังจากคุยกับโค้ชอยู่พักนึง
เรียกว่าเม้าออกรสกันทุกสนามน่าจะถูกกว่า
เพื่อว่าความพลาดเดิมๆจะได้ไม่โผล่มาย้ำซ้ำเดิม
.
"รองเท้าคลีท" ก็เลยเป็น item ใหม่
ที่มาพร้อมๆกับความกลัว
เพราะรองเท้าคลีทคือสิ่งที่ยึดเท้าคนปั่นให้ติดกับรถ
ล้มกลิ้งไปพร้อมๆกันทั้งคน รถและรองเท้า
เลยเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเสมอๆ
.
กลัวจะใส่คลีทระหว่างทางแล้วไม่เข้า
กลัวบันไดจะหมุนไปคนละทาง
กลัวจะบิดคลีทไม่ออก
กลัวจะล้ม...กลัวไปหมด
.
การปั่นกับ item ใหม่นี้ ต้องทำความรู้จัก
และให้กล้ามขาคุ้นชินกันเป็นการใหญ่
ไม่เช่นนั้นการถีบรถถีบแบบเดิมๆ
กับการปั่นจักรยานแบบมีรองเท้าคลีทช่วยให้ควงบันได
ก็จะไม่แตกต่างกันเลย หากใช้กล้ามเนื้อผิด
.
ถึงจะมีความกลัวอยู่ไม่น้อย
แต่รสชาติของการข้ามข้อจำกัดเดิมๆ
ก็เป็นอะไรที่น่าลิ้มลองอยู่เสมอ
...ตราบใดที่ชีวิตอยู่กับการหิวความท้าทาย
และความพยายามที่จะก้าวข้ามข้อจำกัดนั้นดูจะมีทางสว่าง
มิใช่ความพยายามที่เสียแรงและย่ำอยู่กับที่
#ActionBike #Kiriwong #ActionDream #คนไข้บ้าพลัง #ทีมหอบหื่น #NamthipPhDstory

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Namthip x งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 0

  Namthip x งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 0 จากโพสก่อนที่เล่าถึงเส้นทางการวิจัยมะเร็ง ที่เริ่มเรื่องมาตั้งแต่ ม.5 - ป.เอก ตอนที่ 0 นี้คือเรื่องความสะเปะสะปะ กว่าจะมาถึงเส้นทางวิจัยและวิทยาศาสตร์ . เรื่องมันเริ่มมาจากโจทย์แค่ว่า ทำไมยายถึงต้องตายเพราะมะเร็ง ทำไมหมอช่วยยายไม่ได้ ถ้ามีทางดีดีที่ยายไม่ตาย เราก็คงไม่ต้องมานั่งร้องอยู่อย่างนี้ นั่นหล่ะความคิดเด็ก ม.2 . ตอนนั้นก็กวาดทุกอย่างที่ขวางหน้า หรือต้องเป็นหมอศัลย์นะ? หรือว่าต้องโภชนาการต้านมะเร็ง? หรือว่าต้องแบบหมอสมหมาย ทองประเสริฐ? สิงซีเอ็ดบุ๊คสุดๆ อ่านฟรีบ้าง ซื้อบ้าง (มัน 18 ปีก่อน เน็ตยังไม่แพร่หลาย 555) . พ่อกับแม่ก็พยายามสนับสนุนนะ คือเค้าจะเป็นสายแบบเป็นแบ็ค จะไม่ชี้นำ แต่ถ้าดีดจะไปทางไหน จะช่วยดัน มันหรือถีบนะไม่แน่ใจ . ช่วง ม.2 แม่ก็พาไปเจอรุ่นพี่ที่ทำงานเก่าของแม่ คุณลุง ดร.วิรัตน์ คำศรีจันทร์ ที่มาบรรยายเกี่ยวกับงานวิจัยอะไรสักอย่าง จำได้เลยว่าใส่ชุดยุวกาชาด ไปนั่งฟังบรรยายซึ่งก็น่าจะไม่ค่อยรู้เรื่องด้วย แล้วก็ไปทานข้าวต่อกับวิทยากร ตอนนี้จำอะไรไม่ได้เลยว่าคุยอะไร จำได้อย่างเดียวคือ งานวิจัยนี่ดูเป็นอะไรที่เป็นเห...

Namthip x งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 1

  Namthip x งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 1   อยากบันทึกเรื่องราววิทยาศาสตร์ตอนวัยเด็กไว้สักหน่อย เป็นเรื่องราวที่อยากบันทึกไว้อ่านเอง ที่จริงควรจะเขียนตั้งแต่เหตุการณ์จบลงใหม่ๆ เพราะความรู้สึกจะยังคงสดใหม่ ภาษาก็อาจจะยังขำๆ กลับมาอ่านก็คงจะอมยิ้มไปอีกแบบ แต่บันทึกตอนนี้ก็ไม่สาย เพราะไม่รู้ว่าต่อไปวิทยาศาสตร์และงานวิจัย จะยังสดใสน่าตื่นเต้นเหมือนที่คิดตอนเด็กมั้ย งั้นรีบเขียนเลยแล้วกัน . บันทึกนี้คือบันทึกความรู้สึกที่อยู่ในใจ ย้อนกลับไปเมื่อสิบปีก่อน บางส่วนอาจจะเกี่ยวข้องกับการเมืองยุคปัจจุบัน แต่ถ้าเสพด้วยใจที่เป็นกลาง เป็นเหตุเป็นผล เข้าใจบริบทของสังคม เวลา และเข้าใจว่าทั้งหมดคือเรื่องราววิทยาศาสตร์ไม่ใช่การเมือง เรื่องเล่าทั้งหมดจะไม่ชวนให้ตะขิดตะขวงใจแต่อย่างใด ขอใช้ภาษาตามประสาเด็กๆ เมื่อสิบกว่าปีก่อนหล่ะกัน . ชอบวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่เด็ก แต่เรียนไม่ค่อยเก่งหรอก ชอบเล่นมากกว่า ทำของเล่นกับพ่อ หรือวุ่นวายกับสีดอกไม้หลังบ้านที่เอามาเล่นกับกรดเบส . จนหลังจากที่ยายเสียชีวิตเพราะมะเร็ง ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าทำไมหมอช่วยยายไม่ได้ ก็คิดนะว่าการแพทย์เป็นทางหนึ่ง แต่อาจจะมีทางที่ดีกว่า เขียนๆ...

Namthip x งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 6

 Namthip x งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 6   ตอนนี้ที่รอคอยยยย ว่าด้วยเรื่องราวตอนเรียนปริญญาเอก Scientific Lineage และ Mentor . จากเรื่องราวตอนก่อนๆ ตั้งแต่ ม.ต้น จนปี 6 ป ตรี เภสัช ที่ชีวิตว้าวุ่น กับการหาแลปเรียนต่อมากกว่าสอบใบประกอบวิชาชีพ . การเรียนต่อคือการเบี่ยงเข็มไปในทางที่ยิ่งแคบ ยิ่งเฉพาะทาง และแน่นอนเส้นทางอาชีพที่แคบลงไปอีก นี่ทำให้คิดหนักมากว่าเรียนอะไร ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ชอบวิจัยแบบไหนของมะเร็ง เพราะวิจัยมะเร็งนั้นกว้างมากกกกกกกกก . ถึงตรงนี้ขอบคุณอาจารย์ทุกท่านๆที่ให้โอกาสได้ค้นหาตัวเองว่าชอบวิจัยมะเร็งแบบไหนนะคะ . ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง เลยตัดสินใจเรียนปริญญาเอก สาขาเภสัชวิทยา ที่ศิริราช (มันคือ โทควบเอก ถ้าจบ ป ตรีด้วยเกียรตินิยม จะสมัครเรียนแบบนี้ได้เลยไม่ต้องผ่านโท) ซึ่งการเข้าเรียนแบบนี้ก็ถูกนับเป็นนักเรียน ป เอก แต่วิชาเรียนเยอะกว่า . การเรียน ป เอก นั้น จุดสำคัญคือทำวิจัยล้วนๆ แทบไม่มีอะไรผสม เอาหล่ะวะ สมใจอยาก 55555 อยากร่ำไปด้วยทำแลปไปด้วย สภาพพพพ . คือวิจัยนี่ไม่ได้เหมือนแลปที่เราทำตอนเรียนมัธยม ที่ใสๆกุ๊งกิ๊ง เพราะเป็นการทดสอบกฏหรือทฤษฎี ที่คนทั้งโลกทำมาเ...